คลังกางแผน10ปีเศรษฐกิจยั่งยืน

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

“รมว.คลัง”คาด”จีดีพี”ปี 65 โต 3.5-4.5% กางแผน 10 ปี สร้างความยั่งยืนทางการคลัง เร่งขยายฐานภาษี เพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บ “สภาพัฒน์”ห่วงหนี้ครัวเรือน-เงินเฟ้อฉุดรั้งเติบโต

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 65 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Future of Growth Forum: Thailand Vision 2030” ว่า คาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 3.5-4.5% แม้ว่าจะยังอยู่ภายใต้การระบาดของโควิด-19 แต่หากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชนร่วมมือกันในการลดการแพร่ระบาดก็จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคเศรษฐกิจได้

ส่วนทิศทางของเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ จนถึงช่วง 10 ปีข้างหน้า มองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทกับภาคเศรษฐกิจมากขึ้น หากไม่เร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้ก็อาจจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจของประเทศถดถอยลงไป ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการหารือถึงเรื่องการปรับตัวเรื่องนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต โดยปัจจัยสำคัญที่จะมีผลกับเศรษฐกิจไทยใน 10 ปีข้างหน้า ได้แก่

1.การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ นโยบายที่สำคัญของไทยคือการสนับสนุนใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

2.เทคโนโลยีดิจิทัล 3.การแพทย์ และบริการด้านสาธารณสุข มีแนวโน้มจะเห็นการเปลี่ยนแปลงจากบริการท่องเที่ยวควบคู่กับบริการด้านสุขภาพ ไปเป็นอสังหาริมทรัพย์ควบคู่บริการด้านสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการดึงดูดและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพให้เข้ามามากขึ้น

4.การสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 5.การท่องเที่ยว ที่จะต้องคำนึงถึงการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ 6.ความคุ้มครองทางสังคม คือ การสร้างวินัยทางการเงิน การออม ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับสังคมได้อย่างทั่วถึงในยามที่เกิดวิกฤติทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจฐานราก และ7.โครงสร้างประชากร และสังคมผู้สูงอายุ โดยต้องมีระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เหมาะสม วางแนวทางเรื่องการทดแทนแรงงานในอนาคตที่จะลดลง การจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ

ส่วนนโยบายการคลังในอนาคตหลังจาก 2 ปีที่ผ่านมา มีภาระทางการคลังค่อนข้างมาก จากการจัดหาเงินกู้เพื่อช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 นั้น ต้องหันมาให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็น คือ ความยั่งยืนทางการคลัง ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการทางการคลัง และการจัดเก็บรายได้ การเร่งขยายฐานภาษี ฐานรายได้ ตรงนี้เป็นเรื่องจำเป็น เพราะรัฐบาลประสบปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และ 2.กรอบกติกาภาษีของโลกใหม่ ที่เน้นในการลดความเหลื่อมล้ำในการจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศ ผ่านข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งจะช่วยความยั่งยืนด้านภาษี และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในอนาคต

ขณะที่ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่มั่นคง ส่วนในระยะยาวเศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญปัญหา ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากความท้าทายในเรื่องสังคมผู้สูงวัย ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การกีดกันทางการค้า การมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เป็นต้น ดังนั้นหากไทยไม่มีการปรับโครงสร้างจะทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะยาวของเราเติบโตได้อย่างจำกัดมากขึ้น

“โครงสร้างเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีข้างหน้า จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดต่างๆ และผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการยังไม่มีมูลค่าเพิ่ม ส่วนภาคการเกษตรยังไม่ขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะยังอยู่ในรูปแบบการผลิตแบบเดิม ไม่มีการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่า และกำลังแรงงานมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ด้านอุปสงค์ใน 2-3 ปีข้างหน้ายังมีข้อจำกัด เพราะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากโควิด-19 ที่ผ่านมา และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ส่วนเศรษฐกิจโลกแม้ยังขยายตัวได้ดี แต่ในอนาคตหากมีปัญหาสงครามการค้าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ และปัญหาเงินเฟ้อในขณะนี้เป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตด้วย”

นายดนุชา กล่าวต่อว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 จะเป็นลักษณะ K-shape บางภาคเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ดังนั้นระบบเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ต้องพยายามลดความเสี่ยงให้มากขึ้น ไม่พึ่งพาเศรษฐกิจภาคใดภาคหนึ่งมากจนเกินไป และทำให้ภาคเศรษฐกิจยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความเสี่ยง และสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ทำให้เศรษฐกิจยั่งยืนมากขึ้น และระบบเศรษฐกิจในอนาคตต้องคำนึงเรื่องการกระจายอำนาจการผลิตเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งถือเป็นโอกาสของไทย

อ้างอิง
https://siamrath.co.th/economy