เงินบาทวันนี้ปิดตลาดที่ระดับ 38.08 จับตาท่าทีเฟด

เรื่องที่น่าสนใจ เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยเงินบาทวันนี้ปิดตลาดที่ระดับ 38.08 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 37.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียอ่อนค่าลงตามค่าเงินหยวน ซึ่งเผชิญแรงเทขายหลังจากข้อมูล PMI เดือน ต.ค. ของจีนออกมาน่าผิดหวัง ประกอบกับเงินดอลลาร์ทยอยฟื้นตัวกลับมาในช่วงก่อนการประชุมเฟด

สำหรับทิศทางฟันด์โฟลว์ในวันนี้ แม้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4,164.85 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,441 ล้านบาท

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 37.90-38.20 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค ผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่น PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือน ต.ค. และตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน ก.ย.

คาดบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 37.60-38.40
ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 37.60-38.40 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 37.86 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 37.64-38.34 บาท/ดอลลาร์ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่บอนด์ยิลด์สหรัฐฯ ย่อตัวลงท่ามกลางความคาดหวังที่ว่าสหรัฐฯ อาจลดความแข็งกร้าวในการคุมเข้มนโยบายการเงินก่อนสิ้นปีนี้ ทางด้านการธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 75bp สู่ 1.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อและจะหารือเรื่องการลดขนาดงบดุลในการประชุมเดือน ธ.ค. โดยอีซีบีระบุว่า จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ดี นักลงทุนตีความถ้อยแถลงของอีซีบีที่ว่าการคุมเข้มนโยบายในส่วนสำคัญเสร็จสิ้นไปแล้วเป็นสัญญาณว่าดอกเบี้ยปลายทางอาจไม่สูงเท่ากับที่เคยคาดไว้ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) สวนกระแสธนาคารกลางทั่วโลกด้วยการคงนโยบายผ่อนคลายมากเป็นพิเศษต่อไป ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 8,464 ล้านบาท และ 4,306 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับสถานการณ์ในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า เหตุการณ์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 1-2 พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 75bp เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันสู่ระดับ 3.75-4.00% นักลงทุนจะจับตาท่าทีของเฟดเพื่อประเมินความแข็งกร้าวในการขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. โดยหากมีสัญญาณว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลงหลังเดือน พ.ย.ค่าเงินดอลลาร์อาจย่ำฐานในกรอบที่อ่อนค่าลง อนึ่ง เรามองอย่างระมัดระวังว่าเฟดอาจทำให้ตลาดผิดหวังและตอกย้ำความไม่แน่นอนของแนวนโยบายในระยะถัดไปซึ่งจะทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้ นอกจากนี้ ตลาดจะให้ความสนใจกับการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) และตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เช่นกัน

สำหรับปัจจัยในประเทศ นักลงทุนจะติดตามข้อมูลดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน ก.ย.และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ต.ค. โดยเราคาดว่าจะขาดดุลลดลงและเงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทางด้านสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการจีดีพีปี 65 ลงเล็กน้อยเป็นขยายตัว 3.4% โดยเป็นผลจากการชะลอตัวของการลงทุนเนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น พร้อมทั้งคาดว่าจีดีพีปี 66 จะเพิ่มขึ้น 3.8% และประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 21.5 ล้านคน โดยให้ความเห็นว่าหากเศรษฐกิจโลกถดถอย ไทยยังสามารถใช้มาตรการทางคลังประคองเศรษฐกิจโดยเน้นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มและเป็นมาตรการชั่วคราวมากขึ้น